ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ขึ้นเครื่องบิน และเป็นครั้งแรกที่ได้ไปสุวรรณภูมิ สนามบินที่น่าจะได้เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย
เช้านี้ต้องรีบตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตี 4 เพื่อเตรียมตัวออกจากบ้าน กะเวลาว่าไปถึงสนามบินสัก 6 โมงครึ่ง พอตี 5 โทรเรียกแท็กซี่ กะว่าสัก ครึ่งชั่วโมงคงมาถึง ที่ไหนได้ ยังไม่ถึง 15 นาทีเลย ลงจากบ้านปุบ แท็กซี่มาจอดรอหน้าบ้านล่ะ เลยต้องรีบปิดบ้านขึ้นรถทันที ของกินที่เตรียมไว้ไปกินยั่วคนขับบนรถล่ะกัน พอขึ้นรถได้กะว่าคงสักชั่วโมงน่าจะถึง สบายๆ คิดผิดอีกแล้ว!!! คุณพี่แกเหยียบเร็วกว่าเครื่องบินซะอีก ยังไม่ 6 โมงเลย ถึงแล้ว เหลือเวลาอีกตั้งเยอะทำไรดี เลยบอกแฟน ปะ เดินเที่ยวดีกว่า หาไรกินกัน อยากกินอะไรเบาๆ ว่าแล้วก็ออกเดิน พอเดินได้สักพักก็ โอ้โห ทำไมมันกว้างอย่างนี้ ดอนเมืองเทียบไม่ติดเลย เดินไปเดินมา ก็เจอร้านที่เข้าตา มีคนกินอยู่พอสมควร แสดงว่าน่าจะใช้ได้ เข้าไปนั่งดูเมนู มีโจ๊กด้วย โจ๊กดีกว่า แต่พอเห็นราคาก็แทบจะอิ่มล่ะ โจ๊กชามละร้อยกว่า เอาน่านั่งแล้ว สั่งไปเหอะ
และแล้วก็ถึงเวลาเช็คอิน พอเข้าไปถึงแรกๆ ก็เดินเอ้อระเหย ไปที่ประตู ปล่อยให้บันไดเลื่อนมันพาไป แต่สักพัก เอ๊ะ ทำไมมันไม่ถึงสักที (ลืมบอกไปว่าประตูที่ต้องไปขึ้นเครื่องอยู่ประตูสุดท้ายครับ) คราวนี้เดินแล้วครับ เกือบจะได้วิ่งล่ะ เพราะเครื่องจะออกแล้วววววว พอขึ้นเครื่องได้สักพัก ก็ได้เวลาทะยานสู่ฟ้า เวลาประมาณ 8 โมงเช้า
และแล้วก็ถึงสนามบินภูเก็ต ระหว่างทางวิวบนท้องฟ้าสวยงามมากครับ
โปรแกรมแรกสำหรับวันนี้ ล่องเรืออ่าวพังงา เราต่อรถไปที่ท่าเรือล่องอ่าวพังงา ที่อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา กัน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจาก สนามบินภูเก็ต
มาถึงท่าเรือแล้ว แดดในวันนี้ร้อนมาก ถึงมากที่สุด นี่คือเรือที่จะพากลุ่มผมไปล่องอ่าว ชมธรรมชาติของเกาะแก่ง ที่ถูกลมและน้ำกัดเซาะจนมีรูปร่างที่สวยงามแปลกตา
ขึ้นเรือกันเป็นที่เรียบร้อย เรือก็ออกจากท่า ที่เห็นอยู่ก็คือ โรงแรมพังงาเบย์ รีสอร์ท ครั้งที่ผมมาพังงา เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วนั้น โรงแรมนี้นับว่าเป็นโรงแรมใหม่และมีบรรยากาศที่น่านอนมาก ครั้งนั้นผมก็ได้มาพักที่นี่เหมือนกัน แต่มาวันนี้ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว ดูภาพเอาเองล่ะกันนะครับ พูดมากไปไม่ดี ไกด์บอกว่ายังเปิดให้บริการอยู่ แต่ว่าเดี่ยวนี้ไม่ค่อยมีคนแล้ว
ภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังของโรงแรม
เรือล่องออกมาเรื่อยๆ พาเที่ยวชมธรรมชาติของป่าชายเลน ที่นับวันจะยิ่งหดหายไปจากประเทศ
เรือกำลังจะพาเข้าไปลัดเลาะตามซอก เพื่อชมป่าชายเลนอย่างใกล้ชิด
นั่งไปสักพักเริ่มเบื่อล่ะ เห็นวิวไม่สะใจเลย ปีนขึ้นไปบนหลังคากันดีกว่า โอ้ คิดถูก ครึ่งนึง คิดผิด ครึ่งนึง เอาคิดถูกก่อนนะครับ วิวสวยจริงๆ ได้มุมมอง 720 องศา (เว่อร์ไปนั่น) ถ้าใครไม่เคย ลองดูครับ แล้วจะเห็นว่ามันดีกว่าการมองเห็นแต่หลังคาเรือ จากนั้นตลอดทั้งไปและกลับ หลังคาตลอดเลยครับ ส่วนที่คิดผิด คือ ทำไมมันร้อนก้นอย่างนี้ แบบว่าหลังคาเหมือนกะทะ น่ะครับ เกือบสุกเลย แต่ไม่มีใครย่อท้อ นั่งต่อไป เพื่อเก็บบรรยากาศให้ได้มากที่สุด
หน้าผาที่มีลวดลายและสีสันอันงดงามแปลกตา มีให้เห็นกันหลายแห่ง
มาต่อกันที่ถ้ำลอด เป็นภูเขาลักษณะเกาะทะลุ เรือเล็กสามารถแล่นผ่านทะลุไปอีกด้านของถ้ำได้ บนเพดานถ้ำมีหินย้อยที่สวยงามแปลกตา พวกผมที่อยู่กันบนหลังคาก็ต้องระวังเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้โดนหินย้อยเหล่านั้น
ก่อนเรือออกจากถ้ำ มีเรือลำอื่นมารอคิวเข้าถ้ำแล้ว
ออกมาอีกฝั่งแล้ว จริงๆ ก็คือ จะเข้าฝั่งไหนก็ได้ครับเพราะทะเลมันเชื่อมกันหมด
มาชมวิวกันต่อ วิวงาม ลมเย็น แดดเผา
เห็นหมาไหมครับ ที่ขึ้นชื่ออีกแห่งของอ่าวพังงา ก็คือ เขาหมาจู หมาจูจะอ้วนผอมตามฤดูกาลครับ ช่วงนี้เข้าหน้าฝนเลยดูอ้วนหน่อย สงสัยกินน้ำไปเยอะ
ถึงเกาะปันหยีแล้ว แต่เราจะแวะกันตอนกลับเพื่อทานข้าวบนเกาะ
และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางของการล่องอ่าวพังงาในวันนี้ จริงๆ แล้วยังสามารถล่องไปได้ไกลกว่านี้ แต่โดยส่วนมากแล้วมันจะมากันถึงที่นี่แล้วก็ย้อนกลับ
จากบนเรือมองเห็นเขาพิงกันอย่างชัดเจน พร้อมด้วยวิวร้านค้ามากมายที่อยู่บนเกาะ ทำให้ความงดงามหายไปจนหมดสิ้น ทางขึ้นฝั่งแออัดไปด้วยผู้คนและร้านค้าที่ตั้งชิดของฝั่ง ทำให้ขึ้นลงได้ลำบากมาก เห็นแล้วเศร้า
เมื่อเดินไปด้านหลังของเขาพิงกันก็จะเห็น เขาตะปู หรือที่ปัจจุบันนี้คนทั่วไปเรียกกันว่า เกาะเจมส์บอนด์ นี่ก็น่าเศร้าอีกแล้ว ชื่อไทยๆ เดิมๆ ก็ดีอยู่แล้ว
สำหรับผมได้ข้อสรุปว่า การมาเขาพิงกันครั้งนี้ ทำให้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งร้านค้าที่มากมายจนแทบไม่มีทางเดิน ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปบนเกาะมากมาย ส่วนสิ่งที่ยังเหมือนเดิมก็คือ เขาพิงกัน ที่ไม่ได้เห็นมาเป็นสิบปีแล้ว แต่มันก็ยังพิงกันเหมือนเดิม เขาตะปู ที่ยังตั้งเด่นเป็นสง่า แต่เหมือนฐานมันจะเล็กลง
ซอกถ้ำรอบๆ เกาะ
ได้เวลาขึ้นเรือกลับไปที่เกาะปันยีแล้ว สังเกตุได้ว่าชายหาดที่ใช้ขึ้นลงเรือแคบมาก ตอนนี้คนน้อยลงแล้วครับ ตอนขึ้นฝั่งคนอย่างแน่นเลย เบียดกันเกือบจะตกน้ำ
มาถึงเกาะปันยี เข้าไปทานอาหาร (จำชื่อร้านไม่ได้) ไม่มีอาหารมาให้ดูครับ เนื่องจากหิวมาก และบังเอิญได้ไปนั่งร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่เลยเกรงใจครับ สำหรับอาหารไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่ ครั้งแรกที่มาที่นี่จำได้ว่าจับขึ้นมาจากกระชังเลยครับ สดๆ อร่อยมากๆ ทั้งปลา ทั้งกุ้งมังกร แต่เดี่ยวนี้สงสัยจะไม่มีแล้ว
กินเสร็จไปเดินเที่ยวบนเกาะกัน เกาะปันหยี เป็นเกาะเล็กๆ มีบ้านเรือนประมาณ 200 หลังคาเรือน ประชาชนส่วนใหญ่ มีอาชีพประมง ขายของที่ระลึก และขายอาหารให้แก่นักท่องเที่ยว
วิวรอบๆ เกาะ ถ่ายจากโรงเรียนบนเกาะ บนเกาะปันยีมีโรงเรียนและสถานีอนามัยอยู่บนเกาะด้วย
สนามของโรงเรียนบนเกาะ
ได้เวลาลาจากเกาะปันยีแล้ว สำหรับพวกเราก็จองที่นั่งพิเศษบนหลังคาอีกเช่นเคย แต่ตอนนี้ร้อนกว่าเดิมมากเพราะว่าเป็นช่วงบ่ายแล้ว แต่เราก็ยังทน เพื่อให้ได้รับบรรยากาศอย่างเต็มที่
ฟองคลื่นท้ายเรือ
หน้าผาบริเวณ ภาพเขียนสี 3000 ปี (เขาเขียน) บริเวณหน้าผาจะมีรูปเขียนเป็นภาพสัตว์ต่างๆ แต่ผมดูยังไงก็ดูไม่ออกว่ามันเป็นตัวอะไร
โบกมือลาอ่าวพังงากันด้วยภาพนี้
จากนั้นก็เดินทางเข้าสู่ที่พักที่ จ.ภูเก็ต ที่พักในครั้งนี้ของพวกเราก็คือ โรงแรมบ้านไทย ตั้งอยู่ที่หาดป่าตอง ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูเก็ต และทะเลอันดามัน เนื่องจากมีที่พัก บริษัทนำเที่ยว ศูนย์การค้า แหล่งบันเทิง บริการนักท่องเที่ยวอย่างครบครัน
ภายในห้องพัก กว้างขวาง สะอาด มีระเบียงให้นั่งเล่นชมวิวสระว่ายน้ำ
มีโซฟานุ่มๆ ให้นั่งเล่นนอนเล่น
เตียงนอนอีกมุม บริเวณอ่างล้างหน้าจะอยู่นอกห้องน้ำครับ จะอยู่ในบริเวณห้องพักเลย
เก้าอี้นั่งเล่นริมระเบียงไว้ชมวิวสระว่ายน้ำ
ดึงประตูไม้มาปิดให้แสงมันน้อยลง
ภายในห้องน้ำ ไม่ค่อยกว้างมาก
โซฟาอีกรูป
ผลไม้ต้อนรับ
ไปดูรอบๆ โรงแรมกันบ้าง
สระว่ายน้ำถ่ายจากบนระเบียงห้อง
มี Pool Bar อยู่ในน้ำ ได้คูปองเครื่องดื่มฟรีมาคนละใบ ตอนสั่งดูเมนูไม่รู้จะสั่งอะไร ไม่รู้จักสักอย่าง เลยต้องใช้วิธีเดิมที่ง่ายที่สุด คือ สั่งตามคนอื่น ใครบอกอันไหนดี ก็อันนั้นแหละ
มีไม้ลื่นด้วย แต่ไม่กล้าไปเล่น
บริเวณล๊อบบี้ มีบาร์อีกที่นึง
ตกกลางคืนก็ไปเดินกันที่ถนนคนเดิน เดินผ่านห้างดังจังซีลอน ไม่ได้เดินเข้าไปสำรวจเนื่องจากเริ่มดึกแล้ว
เช้าวันที่ 2 วันนี้มีโปรแกรมไปเกาะพีพีกัน เรือที่ใช้เป็นเรือ Speed Boat ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง คลื่นลมก็น่าจะแรง เพราะเรือกระแทกคลื่นตลอดทาง พวกผมมันก็นักผจญภัยซะด้วย ต้องหน้าไว้ก่อน ข้างหลังสบายไปไม่เอาไม่นั่ง
ขอเล่าตอนกลับมาถึงบ้านก่อน พอกลับจากเที่ยวได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แฟนมีอาการแปลกๆ พอไปตรวจหมอบอกว่าท้องได้ 2 เดือนแล้ว โอ้ตายล่ะ ไปเที่ยวลุยกันสุดๆ ทั้งเดิน ทั้งนั่งเรือกระแทก เกือบไปแล้ว แสดงว่าเค้าคงอยากมาอยู่กับเราจริงๆ พอดีแฟนผมเคยแท้งไปครั้งนึง พอเวลาผ่านไปหลังจากที่พยายามหาหมอเพื่อรักษาการมีบุตรยากแล้ว (แฟนเป็นคนมีบุตรยากครับ) ก็ยังไม่มี จนไม่คิดไรเฉยๆ พอเลิกคิดเรื่องมีลูกทีไร ท้องทุกทีเลย แต่ครั้งที่แล้วแท้งไป ตอนที่เขียนนี้ ลูกผมอายุ 6 เดือนแล้วครับ (ทริปนี้ไปมาเมื่อ เดือน 5 ปี 2550 จบเรื่องเล่าส่วนตัวไว้ตรงนี้ดีกว่า เดี่ยวจะมีคนเบื่อซะก่อน
เรือวิ่งฝ่าคลื่นมาเป็นชั่วโมง และแล้วก็มาถึงอ่าวมาหยา อ่าวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาะพีพี ลืมไปนิดสำหรับคนที่ไม่รู้ เกาะพีพี อยู่ในเขตของ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ แต่สามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกทั้งจาก กระบี่ และ ภูเก็ต หมู่เกาะพีพี ประกอบด้วยเกาะ 6 เกาะ คือ เกาะพีพีเล เกาะพีพีดอน เกาะยูง เกาะไม้ไผ่ เกาะบิดะนอก และเกาะบิดะใน ซึ่งแต่ละเกาะมีหาดทรายสวย น้ำทะเลใส ส่วนอ่าวมาหยา จะอยู่ที่เกาะพีพีเล
ความใสของน้ำที่อ่าวมาหยา ช่วงที่ไปใกล้เข้าสู่ช่วงมรสุมทำให้น้ำไม่ค่อยใสมากนัก
ขึ้นฝั่งได้แล้วครับ พอขึ้นไปถึงบนฝั่ง โอ้อะไรกันเนี่ย นี่มันอ่าวมาหยา หรือว่าตลาดนัดกันแน่ ทำไมคนมันถึงได้เยอะขนาดนี้
ทรายที่อ่าวมาหยานุ่มเท้ามากเลยครับ ใครที่ไปไม่ต้องเอารองเท้าลงจากเรือก็ได้ เวลาที่เดินบนหาดถอดรองเท้าได้เลยครับ เพื่อสัมผัสกับความนุ่มของทราย เดินแล้วสบายเท้าจริงๆ
เรือนักท่องเที่ยวแน่นชายหาด
ป้ายเตือนพื้นที่เสี่ยงภัย
เส้นทางหนีคลื่นยักษ์
ที่อ่าวมาหยาจะมีเส้นทางเดินเพื่อเข้าไปชมธรรมชาติรอบๆ
หลักฐานว่ามีถึงอ่าวมาหยาแล้ว
วิวงามๆ
ออกจากอ่าวมาหยา เรือพาเราไปชมอ่าวปิเละ น้ำใสกว่าที่อ่าวมาหยามาก น่ากระโดดลงจากเรือจริงๆ
ที่เกาะพีพีเล ยังมีอีกจุดที่น่าสนใจ นั่นคือ ถ้ำไวกิ้ง ผมได้เคยเข้าไปสัมผัสภายในถ้ำมาแล้ว ในสมัยก่อนที่ยังเปิดถ้ำให้เข้าชมอยู่ ปัจจุบันไม่อนุญาตให้เข้าไปในถ้ำแล้วครับ จึงได้แต่ถ่ายรูปอยู่ด้านนอกเท่านั้น
ก่อนไปทานข้าวเที่ยวกันบนเกาะพีพีดอน เรือพาเราแวะไปดำน้ำก่อน แต่ผมจำชื่อจุดที่ดำน้ำไม่ค่อยได้ เหมือนจะชื่ออ่าวลิง ถ้าผิดยังไงต้องขออภัยด้วยครับ การดำน้ำตื้นที่เกาะพีพี ผมว่าใต้น้ำมันไม่ค่อยน่าตื่นตาตื่นใจสักเท่าไหร่ครับ มันมีปะการังเป็นหย่อมๆ และไม่ค่อยมีสีสันมากนัก
อาหารบนเกาะ จัดไว้เป็นบุปเฟ่ สำหรับกรุ๊ปทัวร์ จัดอยู่ตรงซุ้มสร้างใหม่ที่หลังคาขาว มีอยู่ 2 ซุ้ม พอไปถึงไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าให้ตักตรงไหน ก็เลยตักกันให้มั่วไปหมด ข้ามกรุ๊ปกันไปมา ไม่เป็นไรๆ ยังไงอาหารมันก็เหมือนกันอยู่แล้ว แบ่งๆ กัน อาหารหมดจานอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีรูปมาฝากอีกแล้ว ด้วยเหตุผลเดียวกันกับวันแรก
หลังจากทานอาหารก็ไปเดินดูรอบเกาะกัน
เรือที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของที่นี่
ต้นมะพร้าวบนเกาะ
ใครกล้าเล่นยกมือขึ้น ผมนี่แหละคนแรกเลยที่ยกมือลง จากภาพจะเห็นว่าไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่เพราะถ่ายมาไม่เห็นพื้น แต่ของจริงมันสูงมากๆ
เตรียมตัวขึ้นเรือกลับฝั่ง
กลับมาถึงที่พักยังพอมีเวลาอีกเล็กน้อยให้ได้พักผ่อน เดี่ยวคืนนี้จะไปทานอาหารค่ำและดูการแสดงกันที่ ภูเก็ต แฟนตาซี
ภายใน ภูเก็ต แฟนตาซี มีร้านค้ามากมายประดับไฟอย่างสวยงาม
ภายในห้องอาหารก็ประดับตกแต่งได้สวยงามมาก รสชาดอาหารก็พอใช้ได้ แต่มีอาหารให้เลือกทานได้น้อยไปหน่อย อาหารเป็นแบบบุฟเฟ่นานาชาติ
ซุ้มอาหารนานาชาติ
ที่นั่งทานอาหาร
เดี่ยวเราจะเข้าไปดูการแสดงกันที่นี่ การแสดงเรียกได้ว่าอลังการมาก เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับที่เข้าไปดู แต่ถ้าให้จ่ายเงินเข้าไปเองก็คงคิดดูก่อน เพราะค่าบัตรชมการแสดงรวมอาหารค่อนข้างโหดมาก ก่อนเข้าชมการแสดงจะมีให้ฝากกล้องและโทรศัพท์ เพราะข้างในห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด
เข้าไปทานอาหารกันที่นี่ คนเยอะไปหมดหามุมว่างๆ ถ่ายรูปได้ยากมาก
เช้าวันที่ 3 ผมรีบตื่นขึ้นมาเพราะต้องการออกไปเดินเก็บบรรยากาศของหาดป่าตองยามเช้า ถนนเรียบหาดยามเช้านั้นค่อนข้างเงียบสงบผิดกับตอนกลางคืนที่คึกคักมาก วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ต้องตักตวงความสุขให้เต็มที่ ก่อนที่จะต้องกลับมาเผชิญกับความน่าเบื่อที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเมืองกรุง
เก้าอี้วางเรียงรายรอรับผู้คนในยามบ่าย
มีผู้คนมาออกกำลังการยามเช้ากันมากมาย อากาศในตอนเช้าไม่ร้อนอย่างที่คิด ถือว่าเย็นสบายด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะฝนที่ตกลงมาเมื่อคืน ตลอดการเดินทางมาเที่ยวครั้งนี้ถือว่าโชคดีมากไม่เจอฝนเลยจนกระทั่งวันกลับ ไม่งั้นการออกทะเลคงจะหมดสนุก ตอนกลับไปติดฝนอยู่ที่ร้านไข่มุก ตกแบบว่าอัดอั้นมานาน ทำให้ไม่สามารถกลับไปขึ้นรถได้ เกือบตกเครื่องบินกันเลย
เห็นเจ้าตัวนี้กำลังมองหาอะไรอยู่ ก็เลยจับมาเป็นนายแบบซะเลย
โบกมือลาโรงแรม แล้วไปแวะแหลมพรหมเทพ ก่อนที่จะไปทานอาหารกลางวัน
แหลมพรหมเทพในยามนี้ค่อนข้างร้างผู้คน เพราะคนส่วนมากจะมาที่นี่กันตอนเย็นเพื่อชมพระอาทิตย์ตกทะเลกัน ผมเคยสัมผัสกับบรรยากาศพระอาทิตย์จมน้ำ เมื่อครั้งแรกที่ได้มาที่นี่ซึ่งนามมาแล้ว พอพระอาทิตย์จมลงไปในทะเลจนหมดก็จะมีเสียงตบมือดังก้องไปทั่วบริเวณ มาครั้งนี้ด้วยเวลาที่จำกัดจึงทำให้ไม่สามารถอยู่ดูพระอาทิตย์ตกได้
เจอเจ้าตัวนี้อีกแล้ว เลยลั่นไกซะ
อาหารกลางวันมื้อสุดท้ายของทริปนี้ ตลอดการเดินทางมีมื้อนี้แหละที่ได้ถ่ายรูป
ปลาอีกสักตัว
ที่นี่มีเรื่องขำสุดๆ ก็คือ ตามใบโปรแกรมจะมีแวะขึ้นไปบนเขารัง เพื่อชมวิวและชิมกาแฟแสนอร่อยกัน แต่เวลาไม่พอทำให้ไม่ได้ขึ้นไป พอดีที่ร้านอาหารมีซุ้มกาแฟอยู่ ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นร้านนี้หลายคนก็เลยสั่งกาแฟไป ผลปรากฎว่ารสชาดเหมือนน้ำถูบ้านเลย รสชาดแปลกๆ กลุ่มผมก็สั่งกันไปหลายแก้ว ได้มาทีละแก้ว พอชิมแล้วก็ชักไม่อยากได้แก้วสุดท้ายแล้ว พอไกด์เรียกขึ้นรถ หลายคนเลยเดินเฉยไปขึ้นรถซะเลย ของพวกเรากำลังจะเดินไปขึ้นรถน้องเค้าก็รีบวิ่งเอากาแฟมาให้ทันทีแต่ไม่ใช่แบบที่สั่งไว้ของใครก็ไม่รู้ คือ ตอนสั่งสั่งกันเยอะมากจนคนทำมึน แล้วยังมีแถมของคนอื่นที่เค้าสั่งแล้วไม่เอาอีก น้องเค้าก็ไม่ยอมบอกของกรุ๊ปพี่นั่นแหละ อ้าว ความซวยมาเยือน เสียตังแล้วยังได้กาแฟไม่ได้เรื่องมาอีกแก้ว สุดท้ายจ่ายตังเสร็จ ก็วางกาแฟแก้วนั้นไว้ตรงนั้นแหละ จะได้รู้ว่ามันสุดทนแค่ไหน พอขึ้นรถได้ ไกด์ก็ขอโทษทุกคนที่ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่ามันไม่ใช่ร้านนี้ พอดีมีคนไปโวยว่ากาแฟไม่เห็นอร่อยตามที่บอกเลย แต่พวกผมไม่ได้คิดมากอะไรหรอกครับ มันกลับกลายเป็นเรื่องตลกไป การท่องเที่ยวจะสนุกได้ ถ้าเราพร้อมเผชิญสิ่งที่ไม่คาดฝันครับ
เล่าซะยาวอีกล่ะ ใกล้จะจบแล้วครับ มาดูบรรยากาศริมทะเลของร้านอาหารกัน
ใกล้เวลาขึ้นเครื่องเข้าไปทุกที ก่อนกลับก็ต้องไปที่ที่ทุกคนจะต้องไปทุกครั้งที่ไปเที่ยว นั่นคือ ร้านของฝาก ของฝากของภูเก็ตที่ผมฟังมาว่าขึ้นชื่อก็คือ น้ำพริกกุ้งเสียบ พอดีไม่มีรูปมาให้ดู ไปดูใข่มุกแทนล่ะกัน
เม็ดซ้าย 22 ล้าน เม็ดขวา 12 ล้าน ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ ถ่ายมาได้รูปเดียวพอดีไปเห็นป้ายห้ามถ่ายก็เลยหยุดถ่ายครับ
แวะที่สุดท้ายกันแล้ว วัดฉลอง ไหว้พระขอพรให้เดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องลาจาก ภูเก็ต เสียที ขากลับใช้บริการนกแอร์ลำนี้แหละครับ นกแอร์ที่นั่งแคบกว่าการบินไทยเมื่อตอนขามา มากครับ เป็นอุปสรรคมากสำหรับผมเพราะนั่งแล้วไม่สบายตัวสบายขาเลย ติดนู่นติดนี่ไปหมด แถมตอนเครื่องจะลงจอดที่ดอนเมือง ฝนตกด้วยครับ โคลงไปหมดทั้งเครื่อง น่ากลัวมาก นั่งการบินไทยไม่เห็นสั่นและโคลงขนาดนี้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ขอไม่นั่งครับเครื่องบิน กลัว
เครื่องออกแล้วครับ เกาะภูเก็ตจากบนฟากฟ้า
เห็นสะพานสารสินกันไหม
ขอจบการเดินทางครั้งนี้ด้วยภาพนี้ครับ ครั้งนี้เป็นอีกทริปหนึ่งที่ทำให้ผมได้พบกับความสุข ความสนุกสนาน ประสบการณ์ และเรื่องดีๆ ต่างๆ อีกมากมาย เอาล่ะต้องกลับมาสู่เมืองกรุงลุยงานกันต่ออีกแล้ว
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม
พบกันใหม่ครั้งหน้าที่กระบี่ครับ
เคยไปมาแล้ว แต่นานมากแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างยังสวยเหมือนเดิมเลย
ดูแล้วคิดถึงอดีตจัง...สวยมากเลยค่ะ